"WASH" เบอร์ 1 สะดวกซัก Owned Store Model มุ่งสู่ Growth Stage เต็มตัว ปักธงปี 69-70 ปูพรมขยายไม่น้อยกว่า 160 สาขา ด้านโบรกประสานเสียง รายได้โตเฉลี่ย 20% ในปี 2569 - 2570
"บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน)" หรือ "WASH" ผู้นำธุรกิจให้บริการร้านสะดวกซักครบวงจร ภายใต้แบรนด์ "WashXpress" ประกาศความพร้อมมุ่งสู่ Growth Stage เต็มตัว หลังระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ จากแผนขยายสาขาไม่น้อยกว่า 160 สาขา ในปี 2569-2570 บนพื้นที่ศักยภาพสูงทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และขยายสู่ภาคเหนือ และภาคใต้ หนุนบริษัทฯ มีร้านที่เป็นเจ้าของและบริหารจัดการเองเพิ่มขึ้นเป็น 670 สาขา พร้อมยกระดับสาขาเดิมเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อสร้าง Recurring Income ปักธงมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้านโบรกเกอร์ชี้ธุรกิจมีศักยภาพเติบโตสูง มองรายได้โตเฉลี่ย 20% ในปี 2569-2570 ให้ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 9.30-10.30 บาทต่อหุ้น
นายกวิน กลองกระโทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ WASH เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจว่าการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงที่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว หรือ Growth Stage ซึ่งภายหลังการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงินและศักยภาพการลงทุนของบริษัทฯ ยิ่งขึ้น แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทฯ จะขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจ Owned Store Model ที่มุ่งขยายสาขาที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของเอง และทำให้ WASH ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในเซ็กเมนต์นี้อย่างชัดเจน โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีสาขาที่ลงทุนและบริหารเอง 469 สาขา คิดเป็นสัดส่วน 86% ของสาขาทั้งหมด ซึ่งโมเดลธุรกิจดังกล่าวนอกจากสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่มั่นคง ยังเป็นรากฐานสำคัญที่ผลักดันผลประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างและควบคุมมาตรฐานการให้บริการที่เหมือนกันทุกสาขา สะท้อนผ่านฐานลูกค้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนบัญชีผู้ใช้งานในแอปพลิเคชัน WashXpress กว่า 1.57 ล้านบัญชี
ทั้งนี้ WASH ตั้งเป้าหมายขยายสาขาใหม่ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของ (Owned Store) อย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่รวมไม่น้อยกว่า 160 สาขา หรือไม่น้อยกว่าปีละ 80 สาขาในช่วงปี 2569-2570 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าและรุกเข้าสู่จังหวัดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ จากปัจจุบันที่มีสาขาแล้วใน 21 จังหวัด โดยมุ่งขยายผ่านกลยุทธ์การขยายสาขาในลักษณะกลุ่ม (Cluster expansion) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในภาคเหนือและภาคใต้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการใช้ทรัพยากรสนับสนุนร่วมกัน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเพิ่มรายได้จากสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth) ผ่านการเพิ่มบริการเสริมต่าง ๆ เช่น บริการซัก-อบ-พับ, รับรีด, เดลิเวอรี่ และบริการสำหรับลูกค้าองค์กร (B2B) ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการใช้บริการของเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าในช่วงเวลา Off-peak
"หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ บริษัทฯ มีแผนการเติบโตที่ชัดเจน และเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อขยายสาขาและต่อยอดธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น" นายกวิน กล่าว
นอกจากนี้ ในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ WASH ยังได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมและกลุ่มผู้ก่อตั้งได้พร้อมใจกันล็อกอัพหุ้นตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ (Silent Period) 55.00% และสมัครใจล็อกอัพ (Voluntary IPO Lock Up) เพิ่มอีก 14.74% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้อีกด้วย
ด้านบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า WASH มีความน่าสนใจจากการเป็นผู้นำในตลาดร้านสะดวกซักที่มีช่องว่างการเติบโตอีกมาก โดยมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่ชัดเจนจากการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดร้านสะดวกซักประเภทที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของเอง (Owned Store Model) และจุดเด่นที่แตกต่างจากการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยผ่านแอปพลิเคชัน WashXpress ที่มีฟังก์ชันครบวงจร และการมี Ecosystem ตั้งแต่การก่อสร้าง บริหารจัดการ จนถึงทีมช่างและ Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ โมเดลธุรกิจยังสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ (Recurring Income) และมีสภาพคล่องสูง คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 2568 - 2570 จะเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 35% ต่อปี (CAGR) จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องปีละ 80 สาขา และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) จึงประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2569 ไว้ที่ 9.30 บาทต่อหุ้น
ส่วนบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า WASH เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตสูง จุดเด่นคือกลยุทธ์ที่ยั่งยืน ด้วยการเน้นขยายสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง จึงควบคุมคุณภาพการบริการ "สะอาด สะดวก สบาย" ได้อย่างทั่วถึง และแก้ปัญหา (Pain Point) ของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด แตกต่างจากคู่แข่งที่เน้นระบบแฟรนไชส์นอกจากนี้ ตลาดร้านสะดวกซักเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง หากบริการไม่มีจุดเด่น หรือเข้าใจความต้องการของลูกค้าการบริหารงานให้อยู่รอดในระยะยาวค่อนข้างทำได้ยาก แต่ด้วยศักยภาพของ WASH ที่บริหารจัดการสาขาเอง มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยาวนาน และยังมีข้อได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) และมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นหลัง IPO โดยคาดการณ์ว่า WASH จะมีกำไรเติบโตเฉลี่ย 35.9% ต่อปี (CAGR 2567 – 2570F) ประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2569 ที่ 10.30 บาท โดยอิง PER ที่ 22 เท่า



No comments:
Post a Comment