![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6gaXg-svmz6_U2VPUn43LJKYkSO5wPQttdCne74BjEBoD9pzjT5-inDzgMg7uP_WXUxud84pC3StyhIK0wEgGrewI2TgYdQEpfqiyvbaghZfRvp_stMxF9zmwajQxYypAQL-0fb_-QSbvEtNGxhmfgwAwTyCAiJ_ca2EB_NbrcVNxn3igHSwWIqSy/s16000/%E0%B8%9B%E0%B8%81_copy_1024x683.png)
วันวาเลนไทน์ จากคนแปลกหน้ากลายเป็น
"ความรัก"
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือ วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เพราะเป็นวันแห่งการแสดงความรัก ความห่วงใย ถึงบุคคลที่เราปรารถนาดี และอยากให้เขามีความสุข ซึ่งเราสามารถใช้โอกาสนี้ในการส่งมอบความรักในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ไม่ใช่เพียงเฉพาะหนุ่มสาวเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเรายังสามารถแสดงความรักที่มีต่อพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือเพื่อนของเราได้เช่นเดียวกัน
ประวัติความเป็นมาของวันวาเลนไทน์
วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) หรือวันแห่งความรักตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อระลึกถึงนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ (Saint Valentine) หรือ “วาเลนตินัส” ที่ถูกรับโทษประหารชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 เนื่องจากในยุคนั้นมีกฎหมายห้ามไม่ให้มีการจัดงานหมั้นและงานแต่งงานให้กับชาวคริสเตียนในกรุงโรมเด็ดขาด แต่วาเลนตินัสร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับคู่รักชาวคริสเตียนอย่างลับๆ จึงทำให้เขาถูกจับขังและรับโทษ ในระหว่างที่วาเลนตินัสถูกขังคุกนั้น เขาก็ได้พบรักกับ “จูเลีย” สาวตาบอดที่เป็นลูกสาวของผู้คุม ด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขาที่มีต่อพระเจ้านี้เองทำให้ดวงตาของสาวคนรักหายเป็นปกติ เมื่อความนี้ทราบถึงจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 (Emperor Claudius II) กษัตริย์แห่งกรุงโรม วาเลนตินัส จึงถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ แต่ในคืนก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิต เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึง “จูเลีย” สาวคนรัก โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” หลังจากที่วาเลนตินัสถูกประหารชีวิต ศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ที่กรุงโรม และจูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลด์สีชมพูไว้ใกล้กับหลุมศพวาเลนตินัสผู้เป็นที่รักของเธอ จนทุกวันนี้ต้นอามันต์สีชมพูได้กลายเป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพอันงดงาม และคำนี้ก็กลายเป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรัก และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงพอใจในวันดังกล่าวสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ (อ้างอิง https://www.sanook.com/campus/931822/ )
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLkKVkPPqF6idLo4uaIZ9ejq0mTJafW8wAcro-nHJ4mboi82Af2DhySmqFIMhVB0sHMbKloaR27wtYaB_EOw0nBwJceXuMswi44PWZyRTMFKP0E-UxcYc0cU55w0HlJ87OFY4olN6iPWZnyaf6kZtcXOavSJuWaG8fjtmAzaq-HUATwtqBZ1C7i8AU/s16000/3_copy_1024x683.png)
วันวาเลนไทน์ ที่ไม่ใช่แค่วันของคู่รัก
หากพูดถึงความรัก ในแง่มุมของการ ‘เสียสละ’ ก็เหมือนกับเรื่องราวความรักของของหญิงสาวคนหนึ่ง สตรีโสดที่ไม่มีภาระผูกพัน ซึ่งทำ “อาชีพแม่”หรือที่เราเรียกกันว่า “แม่โสสะ” แม่ผู้เสียสละอุทิศตน เพื่อเป็นแม่ให้กับเด็ก ๆ ที่สูญเสียบิดา มารดา ในมูลนิธิเด็กโสสะฯ คอยเฝ้าฟูมฟักมอบความรัก ความอบอุ่น ให้กับลูกๆ ประหนึ่งเกิดจากครรภ์ของตนเอง ซึ่งแม่โสสะหนึ่งคนจะดูแลลูกๆ ประมาณ 10-12 คน แม่บางท่านเลี้ยงลูกมาแล้วกว่า 20 คน มอบความรัก การดูแลเอาใจใส่ ให้พวกเขามีวัยเด็กที่เปี่ยมสุข ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง และอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุข
ทั้งนี้ หมู่บ้านเด็กโสสะทั้ง 5 แห่ง มีเด็ก ๆ จากหลากหลายพื้นที่ ซึ่งแตกต่างกันทั้งที่มาและภูมิหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างกัน คือ ทุกคนเป็น "ครอบครัว" เดียวกัน ครอบครัวที่อาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านอันอบอุ่น มีแม่โสสะที่คอยดูแลเสมือนแม่แท้ๆ มีพี่น้องที่ร่วมใช้ชีวิตและเติบโตเคียงข้างกัน มีอาหารปรุงสุกใหม่ที่ทุกคนช่วยกันทำในแต่ละมื้อ และยังได้รับการศึกษาเพื่อเติมเต็มเส้นทางชีวิตให้กับเด็ก ๆ ได้ก้าวเดินไปในสังคม
จากคนแปลกหน้ากลายเป็น "ความรัก" ที่เชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างกันเอาไว้อย่างแน่นแฟ้น เป็นครอบครัวใหญ่ที่พร้อมมอบความสุขให้กับเด็กๆ เสมอ เพราะที่นี่คือ “บ้านแห่งความรัก” ของเด็กทุกคน
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเด็กในครอบครัวโสสะ ได้ที่ เว็บไซต์ https://www.sosthailand.org/donate-now และรับชมคลิป ความเสียสละและความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของแม่โสสะ ผ่านหนังสั้นเรื่อง "แม่" ได้ที่ http://bit.ly/3XSxe5K
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLaxggCNKOVJAiFrLdO6VFwOaacgaTggHw5UgKrB-KM6TXxh2smy_ApprKZWOsayZo-xbloyksFv30FTgyfpgIUzFZqb-9Xazp7IksjKDagfc-fQ-5CkNUT3V4rVW9zhHSkUMIBHI7fH426AswIGjbIIzl1PSE8xK6qVGyXGAKM5G_jlzKDASds1PL/s16000/1_copy_1024x683.png)
No comments:
Post a Comment