วิศวะมหิดล เตือนภัยรถ 6 แสนคัน
เปลี่ยนด่วน ‘ถุงลมนิรภัย’...
ชี้เสี่ยงระเบิดรุนแรงจากสารแอมโมเนียมไนเตรท
ผู้บาดเจ็บจากแอร์แบคระเบิดเมื่อบ่ายวันที่ 25 พย. 65 ซึ่งนับเป็นรายที่ 6 ในประเทศไทย เผยว่าได้ขับรถยนต์วิ่งขาเข้าถนนพุทธมณฑลสาย 3 ได้ชนท้ายรถกระบะ และแอร์แบคเกิดระเบิดอย่างรุนแรง ส่งผลให้บาดเจ็บสาหัส ทางโรงพยาบาลเอ็กซเรย์พบวัสดุฝังในหน้าอก ขนาดเท่าเหรียญหรือฝาน้ำ เมื่อผ่าตัดเสร็จ แพทย์พบว่าเป็นอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของแอร์แบค บาดแผลมีร่องรอยจากการระเบิดของแอร์แบค 2 จุด บริเวณหน้าอกและช่วงท้อง และแขน 2 ข้าง ช่วงคอมีบาดแผลคล้ายไฟไหม้ ส่วนรถได้รับความเสียหาย
ผศ.ดร. รุ่ง กิตติพิชัย หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ถุงลมนิรภัย หรือ Airbag เป็นสิ่งคุ้นเคยของผู้ขับรถยนต์มายาวนาน เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ทำหน้าที่เสมือนเป็นหมอนรองลดแรงกระแทกจากการชนต่อผู้ขับรถและผู้โดยสาร ช่วยลดการบาดเจ็บ โดยปกติแล้ว ระบบการทำงานของถุงลมนิรภัยนั้น เมื่อรถยนต์เกิดการชนหรือกระแทกที่รุนแรงเกินกว่ากำหนด จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกระแทก กล่องควบคุมการทำงานของแอร์แบคจะสั่งจุดระเบิดให้ “สาร” ภายในถุงลมนิรภัยให้ระเบิดออกด้วยอุณหภูมิและแรงดันสูงเพื่อทำให้ถุงลมนิรภัยพองตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้เวลาเพียง 0.04 วินาที ด้วยความเร็วในการพองตัวถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นถุงลมนิรภัยจะค่อยๆ ยุบตัวลง เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงลมอัดกับผู้ขับนานเกินไปหรือบดบังการมองเห็น จนทำให้เกิดอันตรายอื่นๆ ตามมา ทั้งนี้ถุงลมนิรภัยนั้นควรต้องทำหน้าที่ในภาวะจำเป็นเท่านั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัยควรจะทำงานขณะรถชนวิ่งในระดับความเร็วตั้งแต่ 40 กม/ชม.ขึ้นไป
ในอดีต “สารในถุงลมนิรภัย”ที่แนะนำและนิยมใช้ คือ “เตตราโซล” (Tetrazole) แต่ด้วยสารชนิดนี้มีราคาแพง ถุงลมนิรภัยยี่ห้อ ทาคาตะ ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ใช้แพร่หลายอันดับต้นๆ ในโลกอุตสาหกรรมรถยนต์นับร้อยล้านคัน ได้ใช้สารราคาถูกเพื่อลดต้นทุน คือ “แอมโมเนียมไนเตรท” (Ammonium Nitrate) ที่เป็นสารประกอบทำปุ๋ยและระเบิดนั้น มีข้อเสียคือ สารนี้สามารถดูดซับความชื้นได้ดี ซึ่งหากการผลิตไม่ได้มาตรฐาน มีความชื้นอยู่ในถุงลมนิรภัยจะทำให้การระเบิดรุนแรงกว่าปกติเมื่อมันทำงานหรือมีการจุดระเบิด ถึงอาจทำให้ชิ้นส่วนภายในถุงลมนิรภัยแตกออกและพุ่งเข้าใส่ร่างคนขับขี่ในระยะกระชั้นชิด จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสและตายเป็นจำนวนมากอยู่ทั่วโลก แม้ว่าในปัจจุบันนี้บริษัทผู้ผลิตถุงลมนิรภัยที่มีปัญหาจะล้มละลายไปแล้ว แต่ยังมีถุงลมนิรภัยรุ่นนี้ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ทั่วโลก
เฉพาะในประเทศไทยรถยนต์ที่ติดตั้งถุงลมทาคาตะนี้ได้แก้ไขเปลี่ยนแล้วกว่า 1 ล้านคัน แต่ยังมีอีกกว่า 6 แสนคันที่ยังไม่เปลี่ยน เปรียบเสมือนมีระเบิดอยู่หน้ารถของตัวเอง ที่น่ากลัวคือ ไม่ต้องชนหนัก เพียงชนแรงพอที่จะให้ถุงลมนิรภัยทำงาน มันก็จะสร้างแรงอัดที่รุนแรงจนเศษโลหะแตกออกและพุ่งใส่ร่างกายคนได้ นอกจากนี้ปัญหาความเสี่ยงจะมากขึ้นหากเป็นรถยนต์ที่ใช้งานมานาน และอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น
เจ้าของรถ 8 ยี่ห้อและรุ่นรถที่ผลิตในปี 1998 -2018 ควรทำอย่างไร
- ตรวจสอบเบื้องต้น โดยเข้าเว็บไซต์ www.checkairbag.com
ใส่ยี่ห้อรถยนต์และกรอกหมายเลขตัวถัง (ดูได้จากสมุดจดทะเบียนรถยนต์หรือที่ตัวถังรถยนต์)
สำหรับคนที่ไม่สะดวกจะเช็คด้วยตนเอง สามารถโทรขอความช่วยเหลือที่ศูนย์รถยนต์ของท่านให้ช่วยเช็คข้อมูลก็ได้
- นำรถไปที่ศูนย์รถยนต์ของท่าน เพื่อเปลี่ยนถุงลมนิรภัยได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นใด
- หากถูกปฏิเสธไม่รับเปลี่ยนถุงลมนิรภัย หรือถูกเรียกเก็บค่าบริการ สามารถร้องเรียนได้ที่สำนักคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทรสายด่วน 1166 และร้องเรียนออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th หรือสภาองค์กรของผู้บริโภค www.tcc.or.th
ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการรถยนต์
- บริษัทรถยนต์ควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้รถยนต์ให้ทั่วถึง เนื่องจากเป็นความรับผิดชอบที่บริษัทเหล่านี้ควรดูแล ซึ่งประชาชนอีกกว่า 6 แสนคันที่ยังไม่ได้รับรู้อันตรายหรือมาเปลี่ยนแอร์แบค
- บริษัทควรขอความร่วมมือไปกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อช่วยเตือนเจ้าของรถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยไม่ได้มาตรฐานข้างต้น ก่อนต่อทะเบียนรถในแต่ละปี
- เต๊นท์ขายรถยนต์มือสอง ควรนำรถยนต์ทั้ง 8 ยี่ห้อในรุ่น-ปีที่มีปัญหา เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย ก่อนที่จะขาย
- บริษัทบริการรถเช่าในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ควรนำรถเช่าทั้ง 8 ยี่ห้อในรุ่น-ปีที่มีปัญหา เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย เพื่อป้องกันอันตรายแก่ชีวิตนักท่องเที่ยว
ส่วนข้อแนะนำสำหรับผู้ขับรถทั่วไป รถยนต์ที่มีสัญลักษณ์ SRS ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นที่หน้าปัดรถยนต์โดยจะสว่างขึ้นเมื่อสตาร์ทรถยนต์ ประมาณ 5 วินาที สัญลักษณ์นี้ก็จะดับลง นั่นหมายความว่า ถุงลมนิรภัยจะทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัย ดังนั้นควรคาดเข็มขัดนิรภัยในระหว่างขับขี่เสมอ เพื่อให้ถุงลมทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าสัญลักษณ์ SRS สว่างขึ้นหรือกระพริบตลอดเวลาในระหว่างขับขี่ แสดงว่าถุงลมนิรภัยทำงานผิดปกติ ควรดับเครื่องยนต์และสตาร์ทใหม่อีกครั้ง ถ้ายังคงมีอาการไฟสัญลักษณ์ดังกล่าวติดค้างอยู่ ควรรีบนำรถยนต์เข้าตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัยทันที
ในอดีต “สารในถุงลมนิรภัย”ที่แนะนำและนิยมใช้ คือ “เตตราโซล” (Tetrazole) แต่ด้วยสารชนิดนี้มีราคาแพง ถุงลมนิรภัยยี่ห้อ ทาคาตะ ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ใช้แพร่หลายอันดับต้นๆ ในโลกอุตสาหกรรมรถยนต์นับร้อยล้านคัน ได้ใช้สารราคาถูกเพื่อลดต้นทุน คือ “แอมโมเนียมไนเตรท” (Ammonium Nitrate) ที่เป็นสารประกอบทำปุ๋ยและระเบิดนั้น มีข้อเสียคือ สารนี้สามารถดูดซับความชื้นได้ดี ซึ่งหากการผลิตไม่ได้มาตรฐาน มีความชื้นอยู่ในถุงลมนิรภัยจะทำให้การระเบิดรุนแรงกว่าปกติเมื่อมันทำงานหรือมีการจุดระเบิด ถึงอาจทำให้ชิ้นส่วนภายในถุงลมนิรภัยแตกออกและพุ่งเข้าใส่ร่างคนขับขี่ในระยะกระชั้นชิด จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัสและตายเป็นจำนวนมากอยู่ทั่วโลก แม้ว่าในปัจจุบันนี้บริษัทผู้ผลิตถุงลมนิรภัยที่มีปัญหาจะล้มละลายไปแล้ว แต่ยังมีถุงลมนิรภัยรุ่นนี้ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ทั่วโลก
เฉพาะในประเทศไทยรถยนต์ที่ติดตั้งถุงลมทาคาตะนี้ได้แก้ไขเปลี่ยนแล้วกว่า 1 ล้านคัน แต่ยังมีอีกกว่า 6 แสนคันที่ยังไม่เปลี่ยน เปรียบเสมือนมีระเบิดอยู่หน้ารถของตัวเอง ที่น่ากลัวคือ ไม่ต้องชนหนัก เพียงชนแรงพอที่จะให้ถุงลมนิรภัยทำงาน มันก็จะสร้างแรงอัดที่รุนแรงจนเศษโลหะแตกออกและพุ่งใส่ร่างกายคนได้ นอกจากนี้ปัญหาความเสี่ยงจะมากขึ้นหากเป็นรถยนต์ที่ใช้งานมานาน และอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น
เจ้าของรถ 8 ยี่ห้อและรุ่นรถที่ผลิตในปี 1998 -2018 ควรทำอย่างไร
- ตรวจสอบเบื้องต้น โดยเข้าเว็บไซต์ www.checkairbag.com
ใส่ยี่ห้อรถยนต์และกรอกหมายเลขตัวถัง (ดูได้จากสมุดจดทะเบียนรถยนต์หรือที่ตัวถังรถยนต์)
สำหรับคนที่ไม่สะดวกจะเช็คด้วยตนเอง สามารถโทรขอความช่วยเหลือที่ศูนย์รถยนต์ของท่านให้ช่วยเช็คข้อมูลก็ได้
- นำรถไปที่ศูนย์รถยนต์ของท่าน เพื่อเปลี่ยนถุงลมนิรภัยได้ฟรี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นใด
- หากถูกปฏิเสธไม่รับเปลี่ยนถุงลมนิรภัย หรือถูกเรียกเก็บค่าบริการ สามารถร้องเรียนได้ที่สำนักคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทรสายด่วน 1166 และร้องเรียนออนไลน์ที่เว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th หรือสภาองค์กรของผู้บริโภค www.tcc.or.th
ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการรถยนต์
- บริษัทรถยนต์ควรจัดให้มีการประชาสัมพันธ์แก่ผู้ใช้รถยนต์ให้ทั่วถึง เนื่องจากเป็นความรับผิดชอบที่บริษัทเหล่านี้ควรดูแล ซึ่งประชาชนอีกกว่า 6 แสนคันที่ยังไม่ได้รับรู้อันตรายหรือมาเปลี่ยนแอร์แบค
- บริษัทควรขอความร่วมมือไปกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อช่วยเตือนเจ้าของรถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยไม่ได้มาตรฐานข้างต้น ก่อนต่อทะเบียนรถในแต่ละปี
- เต๊นท์ขายรถยนต์มือสอง ควรนำรถยนต์ทั้ง 8 ยี่ห้อในรุ่น-ปีที่มีปัญหา เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย ก่อนที่จะขาย
- บริษัทบริการรถเช่าในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ ควรนำรถเช่าทั้ง 8 ยี่ห้อในรุ่น-ปีที่มีปัญหา เข้ารับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย เพื่อป้องกันอันตรายแก่ชีวิตนักท่องเที่ยว
ส่วนข้อแนะนำสำหรับผู้ขับรถทั่วไป รถยนต์ที่มีสัญลักษณ์ SRS ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นที่หน้าปัดรถยนต์โดยจะสว่างขึ้นเมื่อสตาร์ทรถยนต์ ประมาณ 5 วินาที สัญลักษณ์นี้ก็จะดับลง นั่นหมายความว่า ถุงลมนิรภัยจะทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัย ดังนั้นควรคาดเข็มขัดนิรภัยในระหว่างขับขี่เสมอ เพื่อให้ถุงลมทำงานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าสัญลักษณ์ SRS สว่างขึ้นหรือกระพริบตลอดเวลาในระหว่างขับขี่ แสดงว่าถุงลมนิรภัยทำงานผิดปกติ ควรดับเครื่องยนต์และสตาร์ทใหม่อีกครั้ง ถ้ายังคงมีอาการไฟสัญลักษณ์ดังกล่าวติดค้างอยู่ ควรรีบนำรถยนต์เข้าตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัยทันที
No comments:
Post a Comment