EIC คาดเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง แต่โอกาสเกิด J-curve effect มีค่อนข้างน้อย
อีไอซีมองว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แต่เริ่มเห็นความเสี่ ยงการลดดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจปีนี้ โตต่ำกว่า 3% เนื่ องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มกลั บมาขยายตัวสูงขึ้นในปี 2563 และยังคงให้ความสำคัญต่อการรั กษาเสถียรภาพระบบการเงินอยู่ นอกจากนี้ อีไอซีมองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริ งของไทยที่อยู่ในระดับต่ำเมื่ อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคทำให้ กนง. มีข้อจำกัดในการลดดอกเบี้ ยนโยบายในอนาคต อย่างไรก็ตาม หากผลกระทบและความไม่แน่ นอนจากสงครามการค้าโลกเร่งตั วมากกว่าคาดในช่วงครึ่งหลั งของปี จนทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2062 เติบโตน้อยกว่า 3% กนง. ก็อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งในช่วงปลายปีนี้
การกลับมาของ J-curve effect? จากการศึกษาของอีไอซี เชื่อว่า J-curve effect (ภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบั ตรรัฐบาลไทยระยะสั้นจะอยู่ต่ำ กว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างมี นัยสำคัญ) ที่เกิดขึ้นในช่วงเมษายน 2560- พฤษภาคม 2561 น่าจะเกิดจาก 3 ปัจจัย 1) ตลาดเริ่มคาดว่า กนง จะมีการลดดอกเบี้ย 2) ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัย และ 3) การลดลงของยอดคงค้างพันธบัตรพั นธบัตรระยะสั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับภาวะปัจจุบัน อีไอซีเชื่อว่าปัจจัยที่ 1และ2 ได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว แต่ปัจจัยที่ 3 ยังไม่เกิดขึ้น โดยล่าสุดในเดือนกรกฏาคมแม้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดปริมาณพันธบัตรระยะสั้ นลงแต่ไม่ทำให้ยอดคงค้ างลดลงไปด้วย อีไอซีจึงเชื่อว่ามีโอกาสน้อยที่ จะเกิด J-curve effect ในระยะสั้นแรงกดดันต่ออัตราผลตอบแทนพันธบั ตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้น โดยอีไอซีปรับประมาณการอั ตราผลตอบแทนพันธบัตรรั ฐบาลไทยระยะสั้น อายุ 1 ปี มาอยู่ในกรอบ 1.65-1.75% ณ สิ้นปี 2562 (จากเดิม 1.7-1.8%) เนื่องจากคาดว่า ผู้ร่วมตลาดบางส่วนน่าจะเริ่ มคาดการณ์ว่าโอกาสการลดอั ตราดอกเบี้ยนโยบายมีสูงขึ้น นอกจากนั้น ยังปรับลดประมาณการอั ตราผลตอบแทนพันธบัตรรั ฐบาลไทยอายุ 10 ปี ลงมาอยู่ที่ 1.90-2.00% ณ สิ้นปี 2562 (จากเดิม 2.6% -2.8% ) โดยมีสาเหตุหลักจาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรั ฐบาลสหรัฐฯ ที่มีโอกาสลดลงได้อีก จาก1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง 2) การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้ อของสหรัฐฯ ที่อาจลดลงได้อีก และ 3)การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ซึ่งอีไอซีคาดว่าจะเกิดขึ้น 2 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
คาดแรงกดดันของการแข็งค่าของเงิ นบาทมีอยู่ต่อเนื่องในช่วงครึ่ งหลังของปี โดยอีไอซีประเมินว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้ มชะลอตัวลงจากการหดตัวของภาคส่ งออกและการชะลอตัวของการท่องเที่ ยว แต่การเกินดุลบัญชีเดินสะพั ดของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ซึ่งจะยังทำให้สถานการณ์เป็น regional safe haven ของเงินบาทยังคงมีอยู่ต่อ กอปรกับสัญญาณการลดดอกเบี้ ยนโยบายจาก Fed และธนาคารกลางอื่น ๆ ในภูมิภาค จะทำให้เงินบาทยังต้องเผชิญกั บแรงกดดันด้านแข็งค่าอยู่ต่อไป อีไอซีจึงปรับประมาณการเงินบาท ณ สิ้นปี 2019 แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 30-31 ต่อดอลลาร์สหรัฐ (จากเดิม 31-32)
No comments:
Post a Comment