คาดโครงการวิจัยที่ใช้เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) อินเตอร์เน็ตอ็อฟธิงส์ การสำรวจระยะไกลผ่านดาวเทียม และข้อมูลพยากรณ์ อากาศแบบเจาะจงพื้นที่ ช่วยเพิ่มผลผลิตไร่อ้อย
กรุงเทพฯ ประเทศไทย - 6 มีนาคม 2019: วันนี้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประกาศความร่วมมือในงานวิจั ยระยะเวลาสองปีร่วมกับไอบีเอ็ม เพื่อเพิ่มผลผลิตอ้ อยในประเทศไทย โดยสวทช. และไอบีเอ็ม ร่วมด้วยกลุ่มมิตรผล ผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่เป็นอันดั บสามของโลกและรายใหญ่ที่สุ ดในเอเชียที่ให้การสนับสนุ นความรู้เฉพาะทางในการวิจัยครั้ งนี้ จะนำร่องพัฒนาแดชบอร์ดอัจฉริ ยะและแอพพลิเคชันบนมือถือ เพื่อช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญได้รั บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุ ขภาพของอ้อย ความชื้นของดิน ความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี จากโรคและศัตรูพืช การคาดการณ์ผลผลิต และดัชนีค่าคุณภาพความหวานของอ้ อย (ซีซีเอส) โดยอาศัยเทคโนโลยีเอไอชั้ นนำของโลกและข้อมูลสภาพอากาศที่ แม่นยำที่สุ ดในโลกจากเดอะเวเธอร์คอมแพนี (The Weather Company) รวมถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตอ็ อฟธิงส์และอนาไลติกส์
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่ใช้ ในการผลิตน้ำตาลและพลังงานชี วภาพในประเทศไทยและทั่วโลก ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ อันดับสองของโลก และมีบทบาทสำคัญในการป้อนน้ำ ตาลสู่ตลาดโลกโดยมีส่วนแบ่งตลาด 9.4% ในปี 2560 [1] มีการคาดการณ์ว่ าประเทศไทยจะสามารถผลิตน้ำ ตาลได้ 14.1 ล้านเมตริกตันในช่วงปี 2561-2562 โดยเพิ่มขึ้น 3% จากปีที่ผ่านมา [2]
ปัจจุบันนักวิจัยไอบีเอ็มกำลั งพัฒนา “อโกรโนมิคอินไซต์แอสซิสแทนท์” (Agronomic Insights Assistant)ซึ่งใช้แพลตฟอร์มไอบี เอ็มวัตสันดีซิชันสำหรั บการเกษตร (IBM Watson Decision Platform for Agriculture) ร่วมกับระบบไอบีเอ็มแพร์สจี โอสโคป (IBM PAIRS Geoscope) ซึ่งเป็นการผสานรวมข้อมูลความสั มพันธ์เชิงเวลาและพื้นที่ (เช่น ภาพถ่ายพืชผลจากกล้องหลายช่ วงคลื่นที่เก็บภาพมาจากดาวเที ยมหลายตัว ข้อมูลดิน ข้อมูลแบบจำลองความสูงของภูมิ ประเทศในรูปแบบดิจิทัล) ร่วมกับข้อมูลทางการเกษตร (เช่น สุขภาพของอ้อย ระดับความชื้นของดิน พยากรณ์ความเสี่ยงโรคและศัตรูพื ช ปริมาณผลผลิต และดัชนีค่าคุณภาพความหวานของอ้ อย) โดยใช้โมเดลการพยากรณ์ที่แม่ นยำจากเดอะเวเธอร์คอมแพนี จากนั้นจึงนำข้อมูลเหล่านี้ ไปใช้ร่วมกับเทคโนโลยี การสำรวจเฉพาะพื้นที่ที่ได้รั บการปรับและพัฒนาให้เหมาะกั บการทำไร่อ้ อยในประเทศไทยโดยสวทช. และความรู้เฉพาะทางด้ านการเกษตรจากกลุ่มมิตรผล เพื่อกลั่นกรองเป็นข้อมูลเชิงลึ กเกี่ยวกับภาวะการขาดน้ำ และอาหารที่ส่งผลต่อการเติ บโตของอ้อย ความเสี่ยงของโรคและศัตรูพืช ตลอดจนปริมาณผลผลิ ตทางการเกษตรและดัชนีคุ ณภาพของอ้อย
ทั้งนี้ จะมีการนำร่องใช้อโกรโนมิคอิ นไซต์แอสซิสแทนท์ในช่วงกลางปีนี้ บนไร่อ้อยขนาดไม่เกินหนึ่งล้ านตารางเมตรจำนวน 3 ไร่ โดยเมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะทำให้เกษตรกรสามารถเข้ าถึงข้อมูลที่จะช่วยประเมิ นและจัดการความเสี่ยงต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะนำไปสู่ผลผลิตที่เพิ่มขึ้ น นอกจากนี้ ด้วยข้อมูลเชิงลึกที่พยากรณ์ล่ วงหน้าได้สูงสุดสองสัปดาห์ ร่วมด้วยการแจ้งเตือนเกี่ยวกั บโรคและศัตรูพืชอย่ างหนอนเจาะลำต้นข้าวและความเสี่ ยงที่จะเกิดโรคใบขาว และการพยากรณ์อากาศระยะสั้ นตามฤดูกาลแบบเจาะจงพื้นที่ คาดว่าจะช่วยให้ เกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลู กได้อย่างเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นการทดน้ำและระบายน้ำ การใส่ปุ๋ย และการกำจัดศัตรูพืช เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ อาจนำไปสู่การสูญเสียผลผลิต
“ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ขั บเคลื่อนศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีระดับประเทศ สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะเสริ มความแข็งแกร่งให้กับการวิจั ยและการพัฒนาของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้ านอาหารและการเกษตร ซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิ จหลายพันล้านบาทต่อปี และยังคงเป็นส่วนสำคัญในวิถีชี วิตของคนไทย” ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะช่ วยให้มั่นใจได้ถึงการเติบโตอย่ างยั่งยืนและความสามารถในการแข่ งขันระดับโลกของประเทศไทย และ สวทช. มีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับกลุ่ มมิตรผลและผู้เชี่ยวชาญจากสถาบั นวิจัยไอบีเอ็ม เพื่อร่วมกันสร้างเกษตรกรรมยุ คใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล โดยเริ่มต้นที่การทำไร่อ้ อยในประเทศไทย”
“กลุ่มมิตรผลให้ความสำคัญกั บการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการวิ จัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนำมาปรับใช้เพื่อเพิ่ มประสิทธิภาพให้กับผลผลิตอ้อยทั้ งในด้านของคุณภาพและปริมาณ ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนของทุ กภาคส่วนที่อยู่ในอุตสาหกรรมอ้ อยและน้ำตาล”รศ.ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอต Head of Innovation andResearch Development Institute กลุ่มมิตรผลกล่าว “การร่วมมือกับสวทช. รวมถึงการนำเทคโนโลยีเอไอ การสำรวจระยะไกลผ่านดาวเทียม และระบบพยากรณ์อากาศขั้นสู งของไอบีเอ็มมาใช้เพื่อเพิ่ มประสิทธิภาพในการทำไร่อ้อย จึงนับว่าเป็นอีกก้าวที่สำคั ญในการทำเกษตรแม่นยำ (Precision Farming)ซึ่งอยู่ภายใต้แผนการปรับเปลี่ ยนให้เกษตรกรไทยก้าวสู่ การทำเกษตรสมัยใหม่ หรือ Modern Farming ได้รวดเร็วขึ้น ทั้งยังสร้างประโยชน์ให้กั บภาคเกษตรกรรมของไทยอย่างยั่งยื น”
“ไอบีเอ็มภูมิใจที่ได้ร่วมทำวิ จัยภายใต้เป้าหมายในการนำข้อมู ลเชิงลึกเข้าเป็นเครื่องมือเสริ มศักยภาพการทำไร่อ้อยของไทย และช่วยเพิ่มขี ดความสามารถในการแข่งขันให้กั บอุตสาหกรรมหลักอย่างหนึ่ งของประเทศ อันเป็นการสนับสนุนทั้งภาครั ฐและภาคเอกชนของไทย” นางสาวปฐมา จันทรักษ์ รองประธานด้านการขยายธุรกิ จในกลุ่มประเทศอินโดจีน และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าว “การผนึกจุดแข็งของสวทช. และไอบีเอ็มในด้านการวิจั ยและเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้บิ๊ กดาต้า อนาไลติกส์ เอไอ และอินเตอร์เน็ตอ็อฟธิงส์ เข้ากับความรู้เชิงลึกด้ านการเกษตรของกลุ่มมิตรผล เป็นการพลิกโฉมแนวปฏิบัติของหนึ่ งในอุตสาหกรรมที่เก่าแก่ที่สุด และแสดงให้เห็นถึงก้าวย่างใหม่ ของเกษตรกรรมอัจฉริ ยะในประเทศไทย”
“ปัจจัยต่างๆ อย่างเช่นการเปลี่ ยนแปลงของสภาพอากาศ ประชากรที่เพิ่มขึ้น และความกังวลด้านความมั่ นคงทางอาหาร ล้วนเป็นตัวผลักดันให้ภาคอุ ตสาหกรรมและภาครัฐต้ องแสวงหาโมเดลการทำงานร่วมกันรู ปแบบใหม่บนพื้นฐานของข้อมู ลและนวัตกรรมใหม่ๆ” แคทรีน กวารินี รองประธานฝ่ายวิจัยอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยไอบีเอ็ม กล่าว “สถาบันวิจัยไอบีเอ็มหวังเป็ นอย่างยิ่งที่จะได้สร้างความร่ วมมือระหว่างภาครั ฐและภาคเอกชนในลักษณะเดียวกันนี้ เพิ่มเติมในอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ยิ่ งใหญ่ที่สุดของโลก”
No comments:
Post a Comment