SCB CIO มองความกังวลเศรษฐกิจถดถอยกลับมา อีกครั้งหลังความตึงเครียดภาคการเงินสหรัฐฯและ ยุโรป ผนวกดอกเบี้ยสูง แนะเพิ่มพันธบัตรรัฐบาล ในพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง - Bangkokfocusnews.com : ข่าวประชาสัมพันธ์ออนไลน์

Latest News 📢

Monday 24 April 2023

SCB CIO มองความกังวลเศรษฐกิจถดถอยกลับมา อีกครั้งหลังความตึงเครียดภาคการเงินสหรัฐฯและ ยุโรป ผนวกดอกเบี้ยสูง แนะเพิ่มพันธบัตรรัฐบาล ในพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง



SCB CIO มองความกังวลเศรษฐกิจถดถอยกลับมา
อีกครั้งหลังความตึงเครียดภาคการเงินสหรัฐฯและ
ยุโรป ผนวกดอกเบี้ยสูง แนะเพิ่มพันธบัตรรัฐบาล
ในพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง

SCB CIO คาดการณ์ประเด็นความกังวลด้านเศรษฐกิจถดถอย (Recession concern) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2566 พร้อมคงมุมมองว่า Fed ECB และธปท. จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2 แต่ไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ แนะนำนักลงทุนป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลในพอร์ต ส่วนสินทรัพย์เสี่ยง แนะนำลงทุน REITs สิงคโปร์และไทย จากค่าเช่าและอัตราการเช่าฟื้นตัว ขณะที่การลงทุนในหุ้นโดยรวมยังมีมุมมอง Neutral เน้นเลือกลงทุนตลาดหุ้นจีนและไทย ที่มูลค่ายังน่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวในระยะข้างหน้า

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความตึงเครียดในภาคการเงิน (financial sector stress) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้สถาบันการเงินใน 2 กลุ่มประเทศนี้ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ (lending standard) มากขึ้น จากเดิมที่มีความเข้มงวดสูงอยู่แล้ว จึงคาดว่าจะส่งผลลบต่อการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะข้างหน้า

ล่าสุด IMF ประเมินว่า การปล่อยสินเชื่อที่มีแนวโน้มลดลงน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 2 กลุ่มประเทศนี้ ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ได้รับผลกระทบประเทศละประมาณ -0.4% เมื่อบวกกับผลของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ SCB CIO คาดว่า ประเด็นความกังวลด้านเศรษฐกิจถดถอย (Recession concern) โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2566

ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังเป็นปัจจัยบวกหลักของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก แต่จากตัวเลข GDP ไตรมาสแรกที่เติบโต 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) เมื่อดูในรายละเอียด ยังสะท้อนการฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง (uneven recovery) โดยการบริโภคในประเทศส่งสัญญาณฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่ภาคการลงทุนยังฟื้นตัวช้า ส่วนภาคส่งออก แม้มีสัญญาณผ่านจุดต่ำสุด แต่ระยะข้างหน้ายังถูกกดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมาก สะท้อนจากตัวเลขค้าปลีก ล่าสุดส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง (เดือน มี.ค. ขยายตัว 10.6% YOY ในขณะที่ ม.ค.- ก.พ. ขยายตัว 3.5% YOY) สำหรับ การลงทุนสินทรัพย์ถาวร ช่วงไตรมาสแรก ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ตัวเลขส่งออกของจีนเดือน มี.ค. (+14.9% YOY หลังหดตัวต่อเนื่อง 5 เดือนติด) จะออกมาดีกว่าคาด แต่ยังคงต้องติดตามผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน

ดร.กำพล กล่าวว่า SCB CIO ยังคงมีมุมมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 2/2566 และไม่น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทั้งนี้ Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. นี้ และคงดอกเบี้ยที่ 5.00-5.25% จนถึงสิ้นปี เพราะถึงแม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลงแต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย ส่วน ECB อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงช้า แต่ความตึงเครียดจากภาคการเงินน่าจะทำให้ ECB ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในส่วนของ ธปท. น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 พ.ค. นี้ และคงดอกเบี้ยที่ 2% จนถึงปลายปี 2566 โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1-3% ในไตรมาสที่ 2/2566 แม้อุปสงค์ในประเทศจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและบริการ แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่มากกว่าคาด ยังเป็นปัจจัยกดดันภาคส่งออกไทย

จากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มขึ้น เราแนะนำให้นักลงทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge) ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล (Positive) ในพอร์ต โดยจากการวิเคราะของ SCB CIO พบว่า ช่วงที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงถดถอยสูง (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI <50 และหดตัวลงเรื่อยๆ) และเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง สินทรัพย์ที่มักจะถูกนำมาใช้ในการป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย คือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade) ของสหรัฐฯ และทองคำ

แต่เมื่อพิจารณาจากผลตอบแทนต่อความผันผวน (Risk-adjusted return) จะพบว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยรับมือความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้ดีที่สุด ดังนั้น เราจึงปรับมุมมองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็น Positive และปรับมุมมองหุ้นกู้คุณภาพสูงเป็น Slightly Positive แต่ยังคงมุมมองหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield) ที่ Slightly Negative เนื่องจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนจากหุ้นกู้ High Yield เมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล มักเร่งตัวขึ้น (ราคา หุ้นกู้ High Yield ลดลง) ในระยะถัดไปหลังการปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวดสูงขึ้น

นอกจากนี้ เรายังปรับมุมมองต่อ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หรือ DM REITs เป็น Slightly Negative จากความกังวลในประเด็นอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (CRE) ในกลุ่มออฟฟิศ และราคาบ้านที่ชะลอลงในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยแรงกดดันหลักที่มีต่อกลุ่มออฟฟิศ มาจาก 1) ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและการมีหนี้ครบกำหนดชำระค่อนข้างมากในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า 2) การฟื้นตัวของรายได้ที่ช้ากว่าคาด หลังการเปิดเมือง เนื่องจากการทำงานแบบ Hybrid สำหรับอสังหาริมทรัพย์เชิงที่อยู่อาศัย ราคาที่อยู่อาศัยที่เริ่มชะลอลงตามแรงกดดันของดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การฟื้นตัวของค่าเช่าในอีก 12-18 เดือนได้รับผลกระทบตามไปด้วย อย่างไรก็ตามเรายังคงมุมมอง Slightly Positive ต่อ REITs ในสิงคโปร์และไทย ที่ยังมีแนวโน้มได้รับอานิสงส์การฟื้นตัวของค่าเช่าและอัตราการเช่าต่อเนื่อง

สำหรับ การลงทุนในหุ้น (Neutral) ยังคงต้องติดตามงบไตรมาสแรกของปี 2566 และความเสี่ยงจากการถูกปรับลดคาดการณ์กำไร แม้ธนาคารกลางส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และความตึงเครียดในภาคการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป ยังเป็นปัจจัยกดดันทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับลดคาดการณ์ได้ในช่วงที่เหลือของปี โดยเรายังแนะนำให้เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-share ที่คงมุมมอง Positive ตลาดหุ้นจีน H-share และตลาดหุ้นไทย เป็น Slightly Positive เนื่องจากมูลค่ายังน่าสนใจและมีแนวโน้มกำไรฟื้นตัวในระยะข้างหน้า

No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad


Bangkokfocusnews.com ข่าวออนไลน์