PwC ประเทศไทย แนะผู้ประกอบการ
เตรียมความพร้อมด้านภาษีทุกมิติหลังไทย
เดินหน้าเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD
กรุงเทพฯ, 20 พฤศจิกายน 2567 – PwC ประเทศไทย เตือนผู้ประกอบการจะเผชิญความท้าทายด้านกฎหมายและภาษีมากยิ่งขึ้นในปี 2568 หลังไทยเดินหน้าเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีอยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎหมายภาษีให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และจากการดำเนินการบังคับใช้กฏหมายในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำกับกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หรือ “Pillar Two” ในหลายประเทศ ทำให้บริษัทในประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับมาตรการจัดเก็บภาษีนี้ซึ่งอาจกระทบต้นทุนภาษี อีกทั้งควรวางกลยุทธ์ด้านกฎหมายและภาษีให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางภาษีที่เปลี่ยนแปลงไป
นาย นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย หัวหน้าสายภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าว ณ งานสัมมนา “Maximising Shareholder Value” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาประจำปี “PwC Thailand’s Symposium 2024: Beyond boundaries: Shaping tomorrow’s innovations” ว่า ในปี 2568 ผู้ประกอบการไทยจะเผชิญความท้าทายด้านกฎหมายและภาษีมากกว่าที่เคย จากการที่ประเทศไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงในการสมัครเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) โดยได้มีการยื่นหนังสือครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจาก OECD และกลุ่มประเทศสมาชิก ประเทศไทยจะต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางภาษีโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในปัจจุบัน กรมสรรพากรไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎหมายภาษีให้สอดคล้องกับกฎระเบียบด้านภาษีโลกที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง
“การเข้าเป็นสมาชิก OECD อย่างเต็มรูปแบบจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในหลายมิติ เช่น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ การได้รับคำปรึกษาและความช่วยเหลือทางเทคนิคจาก OECD นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก แต่ก่อนที่จะได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกนั้น ประเทศไทยจะต้องได้รับการประเมินความพร้อมตามหลักเกณฑ์ที่ OECD กำหนด ซึ่งไทยจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขดังกล่าวให้ครบถ้วน ทำให้เวลานี้หน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ กำลังศึกษาและดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ OECD ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายและการจัดเก็บภาษีให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลก็เป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์ดังกล่าวด้วย”นาย นิพันธ์ กล่าว
นาย นิพันธ์ กล่าวว่า หลังจากที่ประเทศไทยได้ลงนามเข้าร่วมอนุสัญญาพหุภาคี (Multilateral Instrument) กรมสรรพากรกำลังดำเนินการกำหนดรายละเอียดแนวปฏิบัติ การติดตามและรายงาน รวมถึงแนวทางการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนในการป้องกันการกัดกร่อนฐานภาษีและการโยกย้ายกำไร (Base Erosion and Profit Shifting: BEPS) นโยบายการกำหนดราคาโอน (Transfer Pricing) และแนวทางการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำกับกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (Pillar Two) เป็นต้น
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรแล้ว กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตยังได้ออกนโยบายที่เพิ่มความชัดเจนในการจัดเก็บและตรวจสอบภาษี เนื่องจากเดิมกรมศุลกากรอาจเน้นการตรวจสอบประเด็นค่าสิทธิ แต่จากนี้ไปเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมระหว่างบริษัทที่เกี่ยวข้องกันอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ขยายขอบเขตจากการตรวจสอบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าไปสู่การตรวจสอบที่มีความละเอียดมากขึ้นในขั้นตอนการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
“นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับภาคธุรกิจที่จะต้องติดตามอัปเดตข้อมูลกฎหมายภาษี กฎระเบียบ การตีความ และข้อผิดพลาดทั่วไปที่อาจนำไปสู่การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบเพื่อนำมาใช้ในการปรับกลยุทธ์ด้านภาษีของตนให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของหน่วยงานกำกับได้อย่างทันท่วงที”
จับตามาตรการ Pillar Two ที่จะเริ่มใช้ปี 68 อย่างใกล้ชิด
นาย นิพันธ์ กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันธุรกิจไทยกำลังติดตามแนวปฏิบัติตามมาตรการ Pillar Two จากหน่วยงานกำกับที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ซึ่งเวลานี้อยู่ระหว่างการผลักดันออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำจากกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่เพื่อลดการแข่งขันทางภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของ OECD กำหนดว่ากลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีรายได้รวมเกิน 750 ล้านยูโรต่อปีจะต้องเสียภาษีอย่างน้อย 15% (global minimum tax) ในแต่ละประเทศที่บริษัทเหล่านี้เข้าไปลงทุน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในปี 2568 ซึ่งการนำกฎหมายภาษีฉบับนี้มาใช้น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างภาษีของนิติบุคคล
“ผู้ประกอบการไทยมีความจำเป็นต้องติดตามแนวปฏิบัติด้านกฎหมายและภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการ Pillar Two จากหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง เพราะประเด็นภาษีดังกล่าวอาจทำให้ต้นทุนภาษีและต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการวางแผนการเสียภาษีที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งภาระการปฏิบัติตามกฎหมาย และปรับแนวทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและภูมิทัศน์ทางภาษีในประเทศ ตลอดจนปรับกระบวนการและกลไกการรายงานใหม่ ๆ ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องวางแผนกฎหมายและภาษีให้สอดคล้องและเหมาะสมกับมาตรการนี้” นาย นิพันธ์ กล่าว
แนะผู้ประกอบการวางกลยุทธ์ด้านกฎหมายและภาษีให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ทางภาษีของไทยที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากความท้าทายด้านกฎหมายและภาษีจากการที่ประเทศไทยเข้าสู่กระกวนการการเข้าเป็นสมาชิก OECD แล้ว นาย นิพันธ์ กล่าวว่า หน่วยงานด้านภาษีของไทยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลภาษี รวมถึงการตรวจสอบภาษีเชิงลึก ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจต่าง ๆ จึงควรติดตามอัปเดตกฎหมายภาษีอยู่เสมอควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามกฎระเบียบภาษี และปรับปรุงการดำเนินงานด้านภาษีให้ทันสมัยซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ
นอกจากนี้ ธุรกิจควรพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือกับการตรวจสอบภาษีที่เข้มข้นมากขึ้น จากการที่กรมสรรพากรได้ปรับโครงสร้างการจัดเก็บ รวมถึงนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยในการตรวจสอบภาษี เช่น ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) และ AI จึงอาจทำให้ผู้เสียภาษีมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกตรวจสอบมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการจึงควรวางแผนด้านภาษีครอบคลุมทั้งการเตรียมความพร้อมเชิงกลยุทธ์ การจัดการด้านเอกสาร การจัดการการคืนภาษี และการส่งเสริมแนวทางเชิงรุกในการรับมือกับความท้าทายด้านกฎระเบียบ
“การที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ทางภาษีที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศไทยนั้นจำเป็นต้องอาศัยการวางแผนกลยุทธ์ทางภาษีที่มีประสิทธิ์ภาพ ความสามารถในการปรับตัว และความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อีกทั้งการติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีมาใช้ และการพัฒนากลยุทธ์ทางภาษีอย่างครอบคลุม เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่นท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบหลากหลายมิติ และสามารถเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความท้าทายด้านโครง สร้างอยู่ในปัจจุบัน” นาย นิพันธ์ กล่าว
เกี่ยวกับ PwC
ที่ PwC เป้าประสงค์ของเรา คือ การสร้างความไว้วางใจในสังคมและช่วยแก้ปัญหาสำคัญให้กับลูกค้า เราเป็นหนึ่งในบริษัทเครือข่าย 149 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 370,000 คนที่ยึดมั่นในการส่งมอบ บริการคุณภาพด้านการตรวจสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางธุรกิจ กฎหมายและภาษี หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ www.pwc.com
เกี่ยวกับ PwC ประเทศไทย
PwC ประเทศไทย ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 โดยมีบทบาทในการช่วยเหลือ และให้คำปรึกษาแก่ธุรกิจไทยมานานกว่า 65 ปี PwC ผสมผสานประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถในการทำงานกับลูกค้าข้ามชาติ ผนวกกับความเข้าใจตลาดภายในประเทศเป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชื่อเสียงของ PwC เป็นที่ยอมรับและได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยปัจจุบัน มีบุคลากรมากกว่า 1,800 คนในประเทศไทย
PwC refers to the Thailand member firm, and may sometimes refer to the PwC network. Each member firm is a separate legal entity. Please see www.pwc.com/structure for further details.
No comments:
Post a Comment